วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แปลเพลง






เนื้อเพลง เพลง 파자마 파티 (Pajama Party)
ศิลปิน Super Junior HAPPY -
อัลบั้ม Cooking King (Cooking? Cooking!)

Pajama Party

RAP>
한번 두번 세번 몇 번의 만남에
ฮันบอน ทูบอน เซบอน มยอช บอนเน มันนัมเม
(1 ครั้ง 2ครั้ง 3ครั้ง ไม่วาพบกันกี่ครั้ง)

난 네게 FEEL이 꽂혔어.
นัน เน กเย ฟีลลี โกซฮยอซซอ
(ผมจะทำให้คุณรู้สึกติดใจ)


그녀의 눈빛도 내게로 어느새 난
คือนยอ เอ นุนบิชโด แนเกโร ออนือแซ นัน
(แววตาของเทอก็ด้วย ที่มองมาทางผม)

비트에 리듬에 몸을 실어 남자답게 OKAY~
พีทือ เอ รีดึมเม โมมมึล ชิลรอ นัมจาดับเก OKAY~
(ทำให้การเต้นจังหวะของหัวใจผมมันสมกับผู้ชาย OKAY~)


모든 준비는 끝났어 자, one two three Let`s Go
โมดึน ชุนบีนึน กึทนัซซอ จา , one two three Let`s Go
(เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว งั้นก็ , one two three Let`s Go)

우리 오늘 밤 PARTY해요
อูรี โอนึล บัม PARTY แฮโย
(คืนนี้พวกเรามา ปาร์ตี้กัน)


그대 위해 멋진 밤을 만들게요
คือแก วีแฮ มอซจิน พัมมึล มันดึลเกโย
(เพื่อเธอผมจะทำคืนที่ประทับใจให้นะ)

이미 우리 서로 FEEL이 통했다는 것을
อีมี อูรี ซอโร ฟีลลี ทงแฮซดานึน กอซซึล
(ก่อนอื่นเราต้องมีสิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกถึงกัน)

아는데 뭘 그래요
อานึนเด มวอล คือแรโย
(ก้สิ่งนั้นไง)

향기 나는 촛불도 샀구요
ฮยังกี นานึน โชซ บุลโด ซัซกูโย
(กลิ่นหอมของเทียนหอมที่ผมได้ซื้อมา)

내 방 가득 채울 풍선도 샀어요
แน บัง กาดึค แชอุล พุงซอนโด ซัซซอโย
(ในห้องของผมก็จะเต็มไปด้วยลูกโป่งที่ซื้อมา)

제일 고르기 힘들었던 건 오늘 밤 입을 PAJAMA
เชอิล โกรือกี ฮิมดึลรอซดอน โอนึล บัม อิบบึล PAJAMA
(สิ่งที่เลือกมาอย่างลำบากที่สุด วันนี้เราจะใส่ ชุดนอนกัน)

**
PAJAMA 입고 PAJAMA 입고
PAJAMA อิบโก PAJAMA อิบโก
(สวมPAJAMA และก็ สวมPAJAMA)

우리 오늘 밤 멋진 파티를 해요
อูรี โอนึล บัม มอซจิน พาที รึล แฮโย
(ค่ำคืนนี้เราจะมาทำปาร์ตี้ที่น่าประัทับใจกัน)

우리 둘이 신나게 놀아요.
อูรี ดุลรี ชินนาเก นลลาโย
(เรา2คนจะเล่นกันอย่างสนุกสนาน)

영화처럼요 베개 싸움도 해요
ยองฮวาชอรอมโย เบเก ซาอุมโด แฮโย
(เราจะเล่นปาหมอนเหมือนในหนังเลย)


눈처럼 하얀 베갯속 세상 우리 둘이 신나게 즐겨요
นุนชอรอม ฮายัน เบแกซโซก เซซัง อูรี ดุลรอ ชินนาเก จึล กยอ โย
(โลกนุ่นสีขาวที่เหมือนกับหิมะพวกเรา2คนเล่นกันอย่างสนุกสนาน)

RAP)
오랜만에 청소도 정말 오랜만에 빨래도
โอแรนมันเน ชองโซโด จองมัล โอแรนมันเน ปัลแรโด
(ถึงจะต้องทำความสะอาดนาน ซักผ้านานด้วยก้ตาม)


입술 터지도록 풍선도 정신없이 바쁜 온 종일...
อิบซุล ทอจีโด โรก พุงซอนโด จองชินอ็อบชี พาปึน โอน
จงอิล
(จนปากจะแห้งผากอย่างลูกโป่งฟีบๆ..วันที่แสนวุ่นวาย.. )

시장에 가서 장 보고 또 요리도
ชีจังเง กาซอ จัง โบโก โต โยรีโด
(ไปที่ตลาด หาซื้อน้ำปลา และก็เริ่มทำอาหารอีก)

직접 해보고 어쩜 혹시 사랑이? 너무나도 행복해~!
ชิกจอบ แฮโบโก ออจอม ฮกชี ซารังงี ? นอมูนาโด
แฮงโบ๊คเค~!
(ลองทำอาหารด้วยตัวเอง จะรู้มั้ยนะว่ารัก? เฮ้อ มีความสุขจัง~!)


혼자 사는 내 방 어떤가요
ฮนจา ซานึน แน บัง ออตอนกาโย
(ี่ห้องที่ผมอยู่คนเดียวเป็นยังไง)


내가 직접 만든 저녁은 어때요?
แนกา ชิกจอบ มันดึน จอ นยอก กึน ออแตโย ?
(อาหารเย็นที่ผมทำเป็นยังไงหรอ)


그대 오늘밤 더 예쁘네요 특히 그대의 PAJAMA
คือแก โอนึลบัม ทอ เยปือเนโย ทึกคี คือแดเอ PAJAMA
(คืนนี้คุณสวยจังเลยนะ โดยเฉพาะชุดนอนของคุณน่ะ)


**
PAJAMA 입고 PAJAMA 입고
PAJAMA อิบโก PAJAMA อิบโก
(ใส่PAJAMAและก็ ใส่PAJAMA และก็)


우리 오늘 밤 멋진 파티를 해요
อูรี โอนึล บัม มอซจิน พาทีรึล แฮโย
(ทำปาร์ตี้คืนนี้ของเราให้เท่ไปเลย)


우리 둘이 신나게 놀아요
อูรี ดุลรี ชินนาเก นลราโย
(เรา2คนจะเล่นกันอย่างสนุกสนาน)


소파 위에서 침대 위에서 우리 뛰어요
โซพา วีเอซอ ชิมแด วีเอซอ อูรี ตวีออโย
(พวกเราจะกระโดดบนโซฟา บนเตียง)

어린 애처럼 마구 하늘 높이 뛰어요 신나게
ออริน แอชอรอม มากู ฮานึล โนพี ตวีออโย ชินนาเอ
(เหมือนเด็กๆเล่นตามใจชอบ โดดไปสูงๆถึงท้องฟ้าเลยนะ)


그러다가 지치면 괜히 분위기 잡혀
คือรอากา ชีชีมยอน คแวนฮี บุนวีกี ชับฮยอ


혹시 엉큼한 생각 슬쩍 들지도 몰라
ฮกชี ออง คึม ฮัน แซงกัก ซึลจอก ดึลจีโด มลรา


RAP>
걱정은 저기 버리고
คอกจองงึน จอกี บอรีโก
(ทิ้งความกังวลไว้ที่นั่น)


그대 앞에 내사랑 순수하죠 알겠죠?
คือแก อัพเพ แนซารัง ซุนซู ฮาจโย อัลเกซจโย ?
(รักที่บริสุทธิ์ของผมที่สื่อให้คุณ รุ้ใช่ไหม?)


이제 다시 뛰어요 더 높이~
ออเจ ทาชี ตวีออโย ทอ โนพพี
(ตอนนี้ เรามากระโดดอีกครั้ง ให้สูงกว่านี้นะ)


**
PAJAMA 입고 PAJAMA 입고
PAJAMA อิบโก PAJAMA อิบโก
(ใส่PAJAMAและก็ ใส่PAJAMA และก็)


우리 오늘 밤 멋진 파티를 해요
อูรี โอนึล บัม มอซจิน พาทีรึล แฮโย
(ทำปาร์ตี้คืนนี้ของเราให้เท่ไปเลย)


우리 둘이 신나게 놀아요
อูรี ดุลรี ชินนาเก นลราโย
(เรา2คนจะเล่นกันอย่างสนุกสนาน)


멋진 음악과 하얀 샴페인
มอซจิน อึมมักกวา ฮายัน ซยัมเพอิน
(ทั่้งเพลงที่ไพเราะและไวน์ขาว)

그대 향기와 그대 행복한 웃음
คือแด ฮยังกีวา คือแด แฮงโบคฮัน อุซซึม
(กลื่นหอมของเทอและยิ้มที่มีความสุขของเทอ)


RAP>
세상 가장 행복한 그대와 지금 이순간
เซซัง กาจัง แฮงโบคฮัน คือแดวา ชีกึม อีซุนกัน
(ช่วงเวลานี้ทีได้อยุ่กับคุณนั้นช่างเป็นโลกที่มีแต่ความสุข)


**
PAJAMA!!! PAJAMA PARTY!!!

신나게 놀아요 우리
ชินนาเก นลราโย อูรี
(เล่นกันอย่างสนุกสนาน)

우리 둘이 신나게 놀아요
อูรี ทุลรี ชินนาเก นลลาโย
(เรา2คนเล่นกันอย่างสนุกสนาน)

PAJAMA!!! PAJAMA PARTY!!!

오늘 밤 멋진 파티를 해요
โอนึล บัม มอซจิน พาทีรึล แฮโย
(คืนนี้มาทำปาร์ตี้ที่สนุกสนานกัน)

아침이 올 때까지 그대와
อาชิมมี โอล แตกาจี คือแดวา
(จนกระทั่งเช้า ก้จะอยู่กับเทอนานๆ และตลอดไป)


아주 오래 그대와 영원히
อาจู โอแร คือแดวา ยองวอนฮี

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การ์ตูน [รีบอร์น]*



ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น!




ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! (ญี่ปุ่น: 家庭教師ヒットマンREBORN! Katekyō Hittoman Ribōn! ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดย อากิระ อามาโนะ มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเด็กชายที่ชื่อว่า ซาวาดะ สึนะโยชิ เด็กนักเรียนมัธยมต้นโรงเรียนนามิโมริทีไม่มีความโดดเด่น และไม่มีความสามารถทางการเรียนหรือกีฬา ถูกตั้งฉายา ว่า "สึนะจอมห่วย" หรือ "เจ้าเห่ยสึนะ" จนกระทั่ง "รีบอร์น" ซึ่งมองดูเผิน ๆ เหมือนเป็นเด็กทารก มาเป็นครูฝึกพิเศษจาก อิตาลีโดยมีอาชีพหลักเป็นนักฆ่ามือของวองโกเล่ แฟมิลี่ มาเฟียแห่งอิตาลี วัตถุประสงค์อันแท้จริงของรีบอร์นไม่ใช่เพียงการสอนหนังสือ แต่เพื่อฝึกให้ สึนะเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียรุ่นที่ 10 ของวองโกเล่ แฟมิลี่ เนื่องจากเขาเป็นทายาทโดยตรงของผู้ก่อตั้งวองโกเล่ แฟมิลี่ การต่อสู้ของสึนะจึงเริ่มขึ้น.

ในประเทศญี่ปุ่น การ์ตูนครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! ตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นจัมป์ และตีพิมพ์เป็นฉบับรวมเล่มโดยสำนักพิมพ์ชูเอฉะ ปัจจุบันตีพิมพ์มาแล้ว 27 เล่ม สำหรับภาพยนตร์การ์ตูนครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! ผลิตโดยบริษัทอาร์ทแลนด์ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน ทางช่องทีวีโตเกียว

ในประเทศไทย ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! ได้รับลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนโดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ ตีพิมพ์รายสัปดาห์ในนิตยสารการ์ตูนซีคิดส์ และตีพิมพ์เป็นหนังสือการ์ตูนรวมเล่มมาแล้ว 24 เล่ม ส่วนภาพยนตร์การ์ตูนได้รับลิขสิทธิ์โดยบริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มีการวางจำหน่ายทั้งในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี และได้รับการออกอากาศทางช่องแก๊งการ์ตูน แชนแนลของบริษัทโรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์

กีฬา





วอลเลย์บอล




วอลเลย์บอล (อังกฤษ: volleyball) เป็นกีฬาที่แข่งขันกันระหว่าง 2 ทีม ทีมละ 6 คน โดยแบ่งเขตจากกันด้วยเน็ตสูง การทำคะแนนจากลูกบอลที่ตกในเขตแดนของฝ่ายตรงกันข้าม

ประวัติ


กีฬาวอลเลย์บอลเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1895 โดยนายวิลเลียม จี มอร์แกน ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. เมืองฮอลโยค มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิดเกมการเล่นขึ้น เพื่อตอบสนอง ประยุกต์กีฬาให้สามารถเล่นในฤดูหนาวได้


ขาได้เกิดแนวความคิดที่จะนำลักษณะและวิธีการ เล่นของกีฬาเทนนิสมาดัดแปลงใช้เล่น จึงใช้ตาข่ายเทนนิสซึ่งระหว่างเสาโรงยิมเนเซียม สูงจากพื้นประมาณ 2 ฟุต 1 นิ้ว และใช้ยางในของลูกบาสเกตบอลสูบลมให้แน่น แล้วใช้มือและแขนตีโต้ข้ามตาข่ายกันไปมา แต่เนื่องจากยางในของลูกบาสเกตบอลเบาเกินไป ทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่ช้าและทิศทางที่เคลื่อนไปไม่แน่นอน จึงเปลี่ยนมาใช้ลูกบาสเกตบอล แต่ลูกบาสเกตบอลก็ใหญ่ หนักและแข็งเกินไป ทำให้มือของผู้เล่นได้รับบาดเจ็บ

จนในที่สุดเขาจึงให้บริษัท Ant G. Spalding and Brother Company ผลิตลูกบอลที่หุ้มด้วยหนังและบุด้วย ยาง มีเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว มีน้ำหนัก 8-12 ออนซ์ หลังจากทดลองเล่นแล้ว เขาจึงชื่อเกมการเล่นนี้ว่า "มินโตเนต" (Mintonette)

ปี ค.ศ. 1896 มีการประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ (Spring-field College) นายวิลเลียม จี มอร์แกน ได้สาธิตวิธีการเล่นต่อหน้าที่ประชุมหลังจากที่ประชุมได้ชมการสาธิต ศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด ( Alfred T. Helstead) ได้เสนอแนะให้มอร์แกนเปลี่ยนจากมินโตเนต (Mintonette) เป็น "วอลเลย์บอล" (Volleyball) โดยให้ความเห็นว่าเป็นวิธีการเล่นโต้ลูกบอลให้ลอยข้า

มตาข่ายไปมาในอากาศ โดยผู้เล่นพยายามไม่ให้ลูกบอล ตกพื้น


ปี ค.ศ. 1928 ดอกเตอร์ จอร์จ เจ ฟิเชอร์ (Dr. George J. Fisher) ได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกติกาการเล่นวอลเลย์บอล เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลในระดับชาติ และได้เผยแพร่กีฬาวอลเลย์บอลจนได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล




วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หมาลัยในใจคุณ



มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ









มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University) หรือ เอแบค (ABAC) มหาวิทยาลัยเอกชน ในเครือคณะภารดาเซนต์คาเบรียล มี 3 วิทยาเขตตั้งอยู่ที่เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการและ city campus ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยที่มีระบบการสอนหลักสูตรนานาชาติ



ประวัติ




มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พัฒนามาจาก "โรงเรียนอัสสัมชัญพานิชยการ" ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2512 และได้รับวิทยฐานะเป็น "โรงเรียนอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ" ในปี พ.ศ. 2515 สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ย้ายสังกัดมาอยู่ทบวงมหาวิทยาลัยโดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ ) " หรือ Assumption Business Administration College ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเอแบค (ABAC) และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัย และได้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ" โดยมหาวิทยาลัยได้ใช้ตัวอักษรย่อในภาษาไทยว่า มอช. และภาษาอังกฤษว่า "AU" ซึ่งทำให้อักษรชื่อย่อของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญมีความสัมพันธ์ กับสัญลักษณ์ทางเคมี คือ Au (ทองคำ)



สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย





“ Labor Omnia Vincit (วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึงความสำเร็จทั้งปวง) ”




ชื่อมหาวิทยาลัย : "อัสสัมชัญ" เป็นชื่อที่มีประวัติความเป็นมา และความหมายดังนี้ แรกเริ่มคุณพ่อกอลเบอต์ใช้ชื่อภาษาฝรั่งเศส "Le Collège de L' Assomption" และใช้ชื่อภาษาไทยว่า "

โรงเรียนอาซมซานกอเลิศ" (Assumption College) แต่ปรากฏว่าคนทั่วไปมักจะเรียก และเขียนชื่อโรงเรียนผิดเสมอ ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2453 ภราดาฮีแลร์ (หนึ่งในเจษฎาจารย์ทั้งห้าที่เดินทางมาช่วยรับช่วงดูแลโรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพฯ ต่อจากคุณพ่อกอลเบอต์) จึงได้มีหนังสือไปถึงกรมศึกษา กระทรวงธรรมการ ขอเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "อาศรมชัญ" ดังนั้นชื่อ "อัสสัมชัญ" จึงเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2453 เป็นต้นมา ซึ่ง "อัสสัมชัญ" มีความหมายในภาษาไทยดังนี้ "อัสสัม" เป็นคำบาลีมคธว่า "อัสสโม" แปลงเป็นไทยว่า "อาศรม" หมายถึง "กุฏิทีถือศีลกินพรต" ส่วนคำว่า "ชัญ" เมื่อแยกตามรากศัพท์เดิมเป็น "ช" แปลว่า เกิด และ "ญ" แปลว่า ญาณ ความรู้ รวมคำได้ว่า ชัญ คือ ที่สำหรับเกิดญาณความรู้ เมื่อรวมทังสองคือ "อัสสัม"และ"ชัญ" เป็น "อัสสัมชัญ" แปลว่า ตำหนักที่สำหรับหาวิชาความรู้
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย :
ต้นอโศ (Ashoka Tree) คือ ต้นไม้สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พอลิแอลเธีย ลองจิโฟเลีย (Polyalthea longifolia) มีแหล่งกำเนิดในอินเดียและศรีลังกา เหตุผลที่มหาวิทยาลัยเลือกต้นอโศกเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเพราะ
เป็นต้นไม้ที่เขียวอยู่ตลอดเวลา แสดงถึงความสดชื่นร่มเย็น ความคงเส้นคงวาต่อความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ หมายความว่า มหาวิทยาลัยจะมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุพันธกิจ ในการให้การศึกษาที่ดีเลิศ โดยไม่ย่อท่อต่ออุปสรรคใด ๆ
เป็นต้นไม้ที่รูปทรงสวยงาม เหมือนสถูปเจดีย์
เป็นมงคลนาม หมายถึง ไม่มีความทุกข์ความโศก และยังเป็นชื่อของกษัตย์อินเดียผู้ยิ่งใหญ่คือ
พระเจ้าอโศกมหาราช ที่สร้างอาณาจักรที่เกรียงไกรให้กับอินเดีย และทนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุดในยุคนั้น
เป็นต้นไม้ที่นำจากอินเดียสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดย
มูลนิธิภราดาคณะเซนต์คาเบรียล โดยนำมาปลูกพร้อมกันครั้งแรกที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และกรมป่าไม้
แม่พระองค์แห่งปรีชาญาณ หรือ
Sedes Sapientiæ


(The Seat of Wisdom) ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมหาวิทยาลัยโดยมีความหมายว่า องค์แม่พระเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัย ที่คอยโอบอุ้มนักศึกษา ซึ่งนักศึกษาเปรียบเสมอองค์พระกุมารประทับนั่งอยู่บนตักของแม่พระ










ความรัก








ความรัก 6 ประเภท






1. ความรักแบบเสน่หา (Eros)





ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แม้จะไม่มากพอที่จะทำลายตนเอง หรือรู้สึกถูกใจอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น คล้ายรักแรกพบ ความดึงดูดใจซึ่งกันและกัน การแสดงออกมาทั้งคำพูดและการแสดงความใกล้ชิด อยากเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ วาดฝันเกี่ยวกับอีกฝ่ายไว้งดงาม และไม่ได้คาดการณ์ถึงอุปสรรคใดๆ คู่รักประเภทนี้พยายามพัฒนาสัมพันธภาพกับคู่ของตนอย่างรวดเร็ว โดยการเปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ใส่ใจคู่รักมากเป็นพิเศษ แต่ไม่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือกลัวว่าจะมีคู่แข่ง





2. ความรักแบบไม่ผูกมัด (Ludus)


ความรักเป็นเกมชนิดหนึ่ง เพื่อความบันเทิงของทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงการผูกมัด สามารถผลัดเปลี่ยนคู่ไปได้เรื่อยๆ พยายามที่จะไม่สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับใคร เพื่อรักษาความเป็นอิสระของตน ถึงแม้จะไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่การโกหกและความไม่จริงใจถือว่าเป็นการเล่นตามกติกาที่มี ความรักแบบนี้จะไม่หึงหวง หรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และอาจเห็นชอบให้คู่ของตนมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ของตน




3. ความรักแบบมิตรภาพ (Storge)


ความรักพัฒนามาจากมิตรภาพ เป็นความรู้สึกรักใคร่อันเนื่องมาจากการคบหากันมาเป็นเวลานาน ไม่ได้มีความ รู้สึกตื่นเต้น เร่าร้อน แต่เน้นการกระทำที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีกิจกรรมร่วมกัน ความรักเป็นสิ่งที่มั่นคง ที่ผนวกเข้าไปกับการดำรงชีวิตตามปกติ





4. ความรักแบบลุ่มหลง (Mania)





ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะใฝ่หาความรัก แต่เชื่อว่าความรักเป็นความเจ็บปวด ปรารถนาความใกล้ชิดและต้องการความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ต้องการให้คู่รักของตนแสดงความรักมากกว่าปกติ เมื่อใดที่คู่รักไม่ได้แสดงความใส่ใจ หรือไม่แสดงความรักตามที่ปรารถนา อาจจะทำร้ายตนเอง เพื่อเอาชนะความรัก คู่รักประเภทนี้เชื่อว่า เมื่อปราศจากความรักจากอีกฝ่าย ชีวิตก็ไม่มีคุณค่าอีกต่อไป


5. ความรักแบบมีเหตุผล (Pragma)



เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะแสวงหาคู่ที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด เชื่อว่าความสัมพันธ์จะราบรื่นก็ต่อเมื่อคู่รักสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของกันและกัน ได้แสวงหาคนที่มีลักษณะคล้ายตนหรือต่างจากตน แต่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด การเลือกคู่จะมีลักษณะคล้ายรักเผื่อเลือก ทั้งนี้ก็เพราะคาดหวังสัมพันธภาพที่ยั่งยืน




6. ความรักแบบเสียสละ (Agape)



เป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ต้องการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีความห่วงใย และคำนึงถึงความสุขของคู่รักเป็นสำคัญ โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของตนเอง "การให้" เป็นปัจจัยสำคัญของความรักแบบนี้ นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาพบว่า ในชีวิตจริงคู่สมรสจะมีรูปแบบความรักที่คล้ายคลึงกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคู่ที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับคู่ที่เลิกราไป พบว่าประเภทแรกจะมีความรักแบบเสน่หาสูงกว่า และมีความรักแบบไม่ผูกมัดต่ำกว่าประเภทหลัง รูปแบบของความรักอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และลักษณะของบุคคลที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย




ความรักแบบต่าง ๆ
เหตุผลที่ผู้หญิงมากมายทุกข์ใจ จากการเดท ก็เพราะพวกเธอเชื่อว่า โลกนี้มีผู้ชาย แค่คนเดียวที่ถูกสร้างมาเพื่อเธอ
ความรัก มีหลากแบบ ความรัก เกิดได้หลายแบบ และความรัก ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ยังไง ๆ เรื่องความรัก ก็ยังมีเรื่องให้คนต้องการรัก หรือคนมีรัก ได้รับการเซอร์ไพรส์อยู่เสมอ ซึ่งวันนี้เราก็มีเรื่องเกี่ยวกับ มหัศจรรย์ของความรักมาให้อ่านกันด้วยค่ะ . . . เอ่อ ว่าแต่รักของคุณเป็นเช่นนี้อ่ะเปล่าเอ่ย?
คนที่ใช่ ไม่ได้มีเพียงคนเดียว ถ้าคุณคิดว่าคุณทำคู่แท้หลุดมือไปแล้วล่ะก็ อย่าเสียใจไปเลย โลกนี้เต็มไปด้วย ผู้ชายที่มีแนวโน้มจะเป็นคนที่ใช่เยอะแยะ “เหตุผลที่ผู้หญิงมากมายทุกข์ใจ จากการเดท ก็เพราะพวกเธอเชื่อว่า โลกนี้มีผู้ชาย แค่คนเดียวที่ถูกสร้างมาเพื่อเธอ”
รักแรกพบมีจริง มันเป็นไปได้ ที่เราจะรักใครซักคน ที่เพิ่งเจอแค่แป๊ปเดียว “ทางชีวภาพสัตว์ต้องหาคู่ให้ได้ ก่อนฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุด ก็เลยถูกตาต้องใจกันอย่างเร็ว” ในเมื่อสมองเราส่งสารแบบนั้น เราก็เลยสามารถตอบโต้ ตัวกระตุ้นความชอบ ภาษากายและความเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว
อยู่ห่างๆ กันบ้างก็ดี ในขณะที่คุณกำลังคลั่งรักหัวปักหัวปำ สิ่งที่คุณอยากทำก็คือ เอาอกเอาใจเขา และอยากเกาะติดเขาแจได้ทั้งวันทั้งคืน “การอยู่ห่างกันทำให้สารเคมีแห่งความรัก อย่างโดพามีนและนอเรฟฟินเนฟฟิลในสมองเพิ่มผลผลิต”
ความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ความรักกระตุ้นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการจดจ่อไปที่แรงจูงใจ และแรงผลักดัน ซึ่งตรงข้ามกับสมองส่วนความรู้สึก เช่นความสุขหรือความเศร้า ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทำไมเราถึงว้าวุ่นใจเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ทำให้ชีพจรเราเต้นรัว
ความรักเป็นสิ่งเสพติด เมื่อเราดูรูปคนรักเก่า ส่วนของสมองที่เกี่ยวข้อง กับการเสพติดแอคทีฟเป็นพิเศษเลย โดพามีนถูกหลั่งออกมา แล้วเราก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม จิตใจหวั่นไหวล่องลอยอย่างแรง เหมือนใช้ยาเสพติดเลย นั่นคือสาเหตุที่เราโหยหาหวานใจเราไง
ผู้ชายรักง่ายกว่าผู้หญิง เรามีแนวโน้มจะคิดว่าผู้หญิงรีบร้อนที่จะมีรัก แต่ความจริงผู้ชายเป็นอย่างนั้นมากกว่า “สมองผู้ชายติดตั้งสัญญาณเกี่ยวกับการมองเห็นมากกว่า” ดังนั้น เมื่อหนุ่มเห็นสาวที่ทำให้เครื่องเขาติด ก็จะมีแรงไปกระตุ้นสมองส่วนพิเศษที่มีเฉพาะในเพศชาย

การเมือง

ความหมายของการเมือง








ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ มุมมองที่ใช้พิจารณาการเมืองหรือพูดเป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือแนวการศึกษาวิเคราะห์การเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ใครจะเห็นว่าแนวการมองการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงต่อการอธิบายความเป็นการเมืองได้มากที่สุด
โดยคำว่า “การเมือง” นี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมือง และด้วยตัวแบบที่เป็นกรอบในการ
ศึกษาวิเคราะห์นี้ จะยังผลให้กรอบการมองคำว่าการเมืองต่างกันไป
ในขณะที่สาระสำคัญของคำจำกัดความเป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเป็นเรื่องของการใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ดังจะได้ยกมากล่าวถึง ซึ่งสำหรับผู้ศึกษารัฐศาสตร์มือใหม่แล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่าการเมืองนั้น
จึงดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนอยู่มิใช่น้อย
เนื่องมาจากความหมายของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในตำราเล่มต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นเผยแพร่นั้นมีอยู่หลากหลายต่างกันไปตามความเจตนารมณ์และมุ่งประสงค์ในการนำความหมายของการเมืองเพื่อไปอธิบายปรากฏการณ์ของผู้ให้คำนิยามความหมายของการเมือง ดังได้กล่าวไปแล้วคำจำกัดความของการเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุดโดยนัยที่ได้กล่าวไปนี้ พิจารณาได้จากทัศนะของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2517, 61) ที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับกับผู้ถูกบังคับเสมอผู้เรียบเรียงได้รวบรวมและประมวลคำนิยามหรือความหมายของคำว่าการเมือง มานำเสนอโดยจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้กลุ่มแรก การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยเป็น
การต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง
โดยคำนิยามของการเมืองในเชิงอำนาจที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากได้แก่นิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคมอีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และ
คำนิยามการเมืองในกลุ่มที่สอง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่
ทัศนะของลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและ
ผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่า
ใคร ทำอะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is, who gets “What”, “When” and “How”)กลุ่มที่สาม มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้อง
การใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่มากว่า หากไม่อาจยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึงมีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งกลุ่มที่สี่ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดแย้งจากการดำเนินงานทางการเมืองที่ไม่มีทางออกกลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรมหลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และ